น้ำสีดำในขวด พอเปิดปุ๊บต้องมีเสียงซ่าๆ และกลิ่นหอมของโคล่าอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครได้ดื่มแล้วก็ต้องชอบทั้งนั้น ยิ่งเย็นๆ ซ่าๆ ได้ดื่มแล้วจะรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ ในเรื่องนี้เราจะพาไปทัวร์กับตำนานเครื่องดื่มน้ำดำอย่าง “โคคา โคล่า” ที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 100 ปีและเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่ได้รับความนิยมตลอดการ ซึ่งมีความน่าสนใจมากๆ เลยทีเดียว
จุดกำเนิดโคคา-โคล่า ในร้านขายยา
น้ำอัดลมสีดำยอดฮิตของคนทั้งโลกมีจุดกำเนิดมาจากร้านขายยาเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Jacobs' Pharmacy เจคอบส์ ฟาร์มาซี ในปี ค.ศ. 1886 จอห์น แพมเบอร์ตัน (John Pemberton) เภสัชกร ได้ลองผิดลองถูกโดยนำวัตถุดิบจากธรรมชาติชนิดต่างๆ มาผสมรวมกันเป็นน้ำอัดลมที่มีกลิ่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนในที่สุดกลายมาเป็นน้ำอัดลมสีดำที่ครองใจคนทั้งโลก
ที่ใช้คำว่าลองผิดลองถูกก็เพราะว่าในการหาสูตรผสมในครั้งแรกนั้น วัตถุดิบแต่ละชนิดล้วนแต่แปลกๆ ห่างไกลจากความเป็นโคคา-โคล่ามาก ไม่ว่าจะเป็น ยาแก้ไอ ยาเกี่ยวกับตับ โคโลญจน์ โลชั่นหรือว่าออยส์ชนิดต่างๆ จนในที่สุด ดร. จอห์น แพมเบอร์ตัน ก็ได้สูตรที่แน่นอนโดยคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติที่ให้กลิ่นและรสดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลกนำมาผสมผสานกันจนได้เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร
ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ผ่านการเติมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำเชื่อมที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน น้ำมะนาว สารสะกัดจากใบโคล่าและสารสะกัดจากเมล็ดโคคาหรือคาเคา จนกลายเป็นเครื่องดื่มซู่ซ่าชื่นใจ ตอนนั้น ดร. จอห์น แพมเบอร์ตัน ยังไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อเจ้าเครื่องดื่มรสซาบซ่าส์นี้ว่าอะไรดี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1929 ผู้ช่วยของเขาที่ชื่อ แฟรงค์ โรบินสัน จึงเสนอชื่อ Coca-Cola พร้อมกับออกแบบโลโก้รวมถึงสโลแกน "The Pause that Refreshes" ซึ่งโลโก้ดังกล่าวยังคงใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
จอห์น แพมเบอร์ตัน เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1888 เพียงแค่สองปีถัดมาหลังจากขายกิจการให้กับ เอซา กริกส์ แคนด์เลอร์ (Asa Griggs Candler) นักธุรกิจที่เป็นผู้พัฒนาและบุกเบิกยี่ห้อนี้ขึ้นมา แม้เวลาจะผ่านมากว่า 128 ปีแล้ว แต่โค้กก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก โดยปราศจากวัตถุกันเสียและสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ นอกจากนี้แล้วสีน้ำตาลเข้มของโค้ก ที่เราคุ้นเคยก็มาจากสีของคาราเมล หรือสีของน้ำตาลที่ผ่านการเคี่ยวจนเหนียวข้นนั่นเอง จนกระทั่งปัจจุบัน โคคา-โคล่า มีจำหน่ายใน 207 ประเทศทั่วโลก
สมัยก่อนเมื่อจะวางขายพวกเครื่องดื่มผสมโซดาจะถูกวางขายอยู่ในร้านขายยา มีลักษณะคล้ายกับพวกน้ำอัดลมโบราณในบ้านเรา และช่วงนั้นมีให้เลือกมากถึง 100 กว่าชนิด และเอซาก็คิดว่าเป็นไปได้ยากมากหากลูกค้าจะเลือกซื้อเครื่องดื่มอย่าง Coca Cola เขาจึงได้ปิ้งไอเดียในการที่จะทำให้ลูกค้าสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยได้ทำการขอรายชื่อลูกค้าประจำร้าน และมอบคูปองเครื่องดื่มให้กับลูกค้าของร้านฟรี ๆ
เมื่อลูกค้าเหล่านั้นได้ลิ้มลองแล้วก็เกิดความประทับใจอย่างยิ่ง จนทำให้เกิดการบอกต่อกันเป็นวงกว้าง และในช่วงปลายทศวรรษนี้เองทำให้ Coca Cola ได้รับความนิยมไปทั่วอเมริกา และมียอดการขายเติบโตมากถึง 4000%
ถึงแม้ว่ายอดขายจะเติบโตขึ้นมากก็ตามและได้ขยายออกไปทั่วอเมริกาแล้ว แต่ทางบริษัทเองก็ยังคงคอยใช้การตลาดเชิงรุกที่ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมอย่างการ “แจกคูปองเครื่องดื่มฟรี” และตกแต่งร้านด้วยธีมของ Coca Cola ที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท
เมื่อสมัยก่อนเครื่องดื่ม Coca Cola ได้มีส่วนผสมอย่าง “โคเคน” อยู่ในเครื่องดื่มด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็มีหลายคนเริ่มกังวลและตั้งคำถามมากขึ้น จนในที่สุด Coca Cola ก็สามารถกำจัดโคเคนออกได้หมด และเป็นเครื่องดื่มที่แสนอร่อยและปลอดภัยอย่างที่เราได้ดื่มมาจนถึงทุกวันนี้
สูตรลับโคคา-โคล่า
สูตรลับการผลิตเครื่องดื่มน้ำดำ โคคา-โคล่า ที่ถูกเก็บรักษาในห้องนิรภัยอย่างดีที่เมืองแอตแลนตา มียามเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ถูกเว็บไซต์อเมริกันนำเผยแพร่สู่สาธารณะแบบไม่มีเม้ม
ส่วนผสมการผลิตโค้กนี้เป็นผลงานการคิดค้นของจอห์น เพมเบอร์ตัน เภสัชกรโอสถ เมื่อปี 1886 และถูกปิดเป็นความลับมานับแต่นั้น ทว่าตามรายงานของเดลีเทเลกราฟจากอังกฤษเผยว่า เว็บไซต์ Thisamericanlife.org อ้างว่าตนได้ค้นพบสูตรการปรุงนี้จากภาพถ่ายในบทความหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่บอกส่วนประกอบของวัตถุดิบและอัตราส่วนแบบเป๊ะ
บทความดังกล่าวปรากฏ ในแอตแลนตาเจอร์นัล-คอนสติติวชัน วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1979 มีรูปประกอบรูปหนึ่งเป็นภาพคนเปิดหนังสือที่มีสูตรเหมือนกับของเพมเบอร์ตัน
สูตรนี้กล่าวถึงชนิดและปริมาณของน้ำมันทุกชนิดที่เป็นเครื่องปรุงลับในการผลิต โคคา-โคล่า ซึ่งถูกเรียกว่า เมอร์แชนไดส์ 7 เอ็กซ์ ซึ่ง ส่วนผสมของเมอร์แชนไดส์ 7 เอ็กซ์ ที่ใช้ในอัตราส่วน 2 ออนซ์ต่อน้ำเชื่อม 5 แกลลอนประกอบด้วย แอลกอฮอล์ 8 ออนซ์, น้ำมันส้ม 20 หยด, น้ำมันมะนาว 30 หยด, น้ำมันจันทน์เทศ 10 หยด, น้ำมันจากเม็ดผักชี 5 หยด, น้ำมันดอกส้ม 10 หยด และน้ำมันอบเชย 10 หยด
ถึงแม้ว่า Coca Cola เครื่องดื่มโซดาที่แสนอร่อยจะเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญ แต่ก็ไม่ง่ายเหมือนกันกว่าจะมาอยู่ในจุดที่สามารถครองใจผู้บริโภคได้ ทั้งต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกในการเข้าไปหาลูกค้าก่อน ไหนจะยังเจอคู่แข่งเลียนแบบแทบจะทุกอย่างจนนำไปสู่การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทุกธุรกิจก็ต้องล้วนพบเจอทั้งสิ้น ถ้าเกิดวันนั้น Coca Cola ไม่เปลี่ยนแปลงไป และเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เชื่อว่าก็คงไม่มี Coca Cola คงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้แน่นอน