ชาไทย หรือที่รู้จักกันว่า ชาเย็น โดยต้นตำหรับเป็นเครื่องดื่มเย็นดับร้อน เป็นเครื่องดื่มที่ชงโดยใช้ชาซีลอนชงอย่างเข้มข้น แต่เนื่องจากชาซีลอนมีราคาแพงและมีปลูกเฉพาะที่เท่านั้น จึงนิยมใช้ใบเมี่ยง (ที่เป็นพันธุ์พื้นเมือง-แบบดั้งเดิมหรือแบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ) มาใส่สีผสมอาหารมากกว่าหรืออาจมีการผสมน้ำลอยดอกส้ม โป๊ยกั๊ก เมล็ดมะขามบดหรือสีผสมอาหารแดงและเหลืองหรืออาจจะเป็นเครื่องเทศชนิดอื่นๆก็ได้
เพิ่มความหวานโดยใช้น้ำตาลและนมข้นหวาน เสิร์ฟแบบเย็น ส่วนใหญ่แล้วก่อนเสิร์ฟจะมีการเติมนมข้น กะทิหรือนมสด เติมน้ำแข็งตาม เพื่อเพิ่มรสชาติและให้ดูเข้มข้นน่าดื่ม ซึ่งในไทยนิยมผสมนมข้น น้ำตาลกับชาก่อน แล้วค่อยเทใส่ถ้วยที่มีน้ำแข็ง ปิดท้ายด้วยการราดนม
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ชาจีนร้อนจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย ในร้านอาหารไทยทั่วโลก มักจะเสิร์ฟชาเย็นในแก้วทรงสูง แต่ถ้าเป็นร้านข้างทางหรือร้านค้าในตลาด จะใช้น้ำแข็งบดละเอียด เทใส่ถุงพลาสติกสำหรับเครื่องดื่มหรือแก้วพลาสติกใบสูง ชาเย็นบางร้านจะผสมชาเทไปมาด้วยความสูงประมาณ 4 ฟุตสลับไปมา ( หรือที่เรียกว่า ชาชัก ) ถ้าเป็นร้านที่ทันสมัยจะมีเมนูแบบปั่นด้วย ซึ่งคำว่า ชาไทย (Thai Tea) มาจากฝรั่งเรียกเพราะเป็นชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและหาดื่มได้ในประเทศไทยเท่านั้น
หากกล่าวถึงชาไทย คงขาดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงชาไทยอันดับหนึ่ง นั้นคือชาตรามือ ผู้บุกเบิกแบรนด์แรกที่เปิดโรงงานชาขึ้น ณ ดอยวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยใช้ชื่อโรงงานเริ่มต้นว่า “โรงงานชาหอม” และได้พัฒนาผลิตชาไทยที่มีคุณภาพเรื่อยมา ทำให้เป็นที่ชื่นชอบคนไทยและชาวต่างชาติจนถึงปัจจุบัน
ในเรื่องของกระบวนการผลิตชา จะเริ่มจากการเก็บใบชาสดแล้วนำมาเข้ากระบวนการที่ทำให้เกิดการหมัก ในระดับที่แตกต่างกันไป ซึ่งเมื่อจัดแบ่งประเภทชาตามระดับของการหมักแล้ว สามารถแบ่งชาหลักๆ ออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ชา ที่ไม่ผ่านการหมักเลย ชาขาว (White tea), ชาเขียว (Green tea)
2. ชา ที่ผ่านการหมักบางส่วน ชาอู่หลง (Oolong tea)
3. ชา ที่ผ่านการหมักอย่างสมบูรณ์ ชาดำ (Black tea)
เครื่องดื่มประเภทน้ำชามีมาช้านานกว่า 4700 ปี นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังพบว่าสามารถแก้สารพัดโรคได้อีกด้วย เช่น ต้านอนุมูลอิสสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสารพิษ และโรคอื่นๆอีกมากมาย
ถึงแม้จะไม่มีผลงานวิจัยออกมารับรองว่าบริโภคชาในปริมาณเท่าใดจึงจะปลอดภัย แต่ควรบริโภคไม่เกิน 6 ถึง 8 ถุงชาต่อวัน แต่หากมีความเสี่ยงที่จะเป็นนิ่วในกระเพราะหรือไต ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาเป็นการดีที่สุด