หากให้จัดอันดับแมลงสวยงาม "ผีเสื้อ" น่าจะเป็นแมลงชนิดแรก ๆ ที่คนนึกถึง ด้วยสีสันอันสดใสและลวดลายของปีกอันตระการตา ประกอบกับลีลาการบินเล่นลมอันพริ้วไหวสวยงาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครหลายคนจะหลงรักเจ้าแมลงชนิดนี้ บทความนี้จึงจะพาทุกท่านมารู้จักกับผีเสื้อให้มากยิ่งขึ้นกันค่ะ
รูปร่างของผีเสื้อ
ผีเสื้อเป็นสัตว์ที่ไม่มีโครงกระดูกภายใน มีแต่เปลือกแข็งรอบตัวซึ่งเป็น สารจำพวกไคติน (chitin) ห่อหุ้มร่างกายไว้ ลำตัวประกอบด้วยวงแหวน หลายวงเรียงต่อกันเชื่อมด้วยเยื่อบาง ๆ มี 14 ปล้อง แบ่งเป็น หัว 1 ปล้อง อก 3 ปล้อง ท้อง 10 ปล้อง ผีเสื้อมีตารวมใหญ่คู่หนึ่งอยู่ด้านข้างของส่วนหัว สามารถรับรู้ภาพของวัตถุที่เคลื่อนที่ได้เร็ว จึงบินได้ว่องไว ตามจับได้ยาก มีหนวดคู่หนึ่งอยู่ระหว่างตารวมสำหรับรับรู้กลิ่น ข้างใต้ส่วนหัวมีงวงซึ่งใช้ดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ หรืออาหารเหลวอื่น ๆ เวลาที่ไม่ใช้งาน งวงนี้จะม้วนขดไว้เป็นวง ปีกผีเสื้อเป็นเกล็ดชิ้นเล็ก ๆ เรียงซ้อนกันบนกระเบื้องมุงหลังคาจึงเป็นที่มาของ อันดับแมลงชนิดเลพิดอปเทอรา (Oder Lepidoptera) คำว่า Iepis แปลว่า เกล็ด ส่วน ptera แปลว่า ปีก รวมกันก็คือ แมลงที่มีปีกเป็นเกล็ด ปีกผีเสื้อเป็นโครงเส้นปีกที่มีความสำคัญในการทรงตัวและการร่อนบินอย่างมาก ปีกคู่หน้ามี 12 เส้น ปีกคู่หลังมี 9 เส้น ผีเสื้อแต่ละชนิดมีโครงเส้นปีกไม่เหมือนกัน ดังนั้น โครงเส้นปีกเป็นอีกลักษณะที่ใช้จำแนกชนิดและวงค์ผีเสื้อ ปีกผีเสื้อเกิดจากเกล็ดชิ้นเล็ก ๆ เรียนซ้อน ๆ กันเป็นตับ ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นปีก จำนวน เกล็ดมี 500 – 125,000 ชิ้นทีเดียว เกล็ดแต่ละสีก็จะจับในหมู่กลุ่มสีเดียวกัน ทำให้เกิด ลวดลายสอดสีงดงามบนปีกผีเสื้อ เกล็ดปีกนี้หลุดได้ง่ายมาก หลุดแล้วก็หลุดเลย ไม่มีการสร้างซ่อมแซม เมื่อเกล็ดหลุด ผีเสื้อจะเสียการทรงตัว ประสิทธิภาพในการบินจะลดลง และอาจมีปัญหาในการสื่อสาร นอกจากนี้เกล็ดยังทำหน้าที่ดูดซับและสะท้อนแสงแดด เกล็ดมีความลื่นจึงช่วยทำให้หลุดรอดจากสิ่งเกาะเกี่ยวทั้งหลาย รวมทั้งศัตรูที่ล่าผีเสื้อเป็นอาหารด้วย เกล็ดผีเสื้อมีสองแบบ คือ แบบมีเม็ดสีและแบบไม่มีเม็ดสีภายใน แบบมีเม็ดสี (pigment) มีสีสันสดใส เกิดจากสารอาหารของพืช ทำให้สามารถสะท้อนแสงให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ ส่วนสีดำเกิดจากสารเมลานิน (melanin) ที่ผีเสื้อสร้างขึ้นเอง ส่วนแบบที่ไม่มีเม็ดสีภายใน ลักษณะสีจะแวววาว คล้ายโลหะ สีที่เห็นจะไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับมุมในขณะนั้น สีเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนเมื่อผีเสื้อขยับปีก
วงจรชีวิต
ผีเสื้อมีการเจริญเติบโตแบบโฮโลเมตาโบลัส (Holometabolous) คือการเจริญเติบโตที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) แบ่งได้เป็น 4 ระยะ คือ ไข่ --> หนอน --> ดักแด้ --> ตัวเต็มวัย
การเจริญเติบโตในแต่ละขั้นตอน ผีเสื้อจะมีรูปร่างที่ไม่เหมือนกันเลย ข้อดีสำหรับการเจริญเติบโตแบบนี้ คือแต่ละช่วงของวงจรชีวิตต้องการอาหารแตกต่างกัน และอาจอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน มีศัตรูต่างชนิดกัน ทำให้การเจริญเติบโตในแต่ละระยะ มีอัตราการเสี่ยงต่อการถูกทำลายลดน้อยลง
ผีเสื้อ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ผีเสื้อกลางวัน (Butterfly) และ ผีเสื้อกลางคืน (Moth) โดยทั่วโลกมีผีเสื้อทั้ง 2 กลุ่มรวมกันอยู่ 77 วงศ์ ประมาณ 225,000 ชนิด แบ่งเป็นผีเสื้อกลางวันประมาณ 20,000 ชนิด ที่เหลือเป็นผีเสื้อกลางคืนทั้งหมด ในประเทศไทยได้มีการสำรวจและจำแนกผีเสื้อไว้อย่างน้อย 40 วงศ์ แบ่งเป็นผีเสื้อกลางวัน 11 วงศ์ ผีเสื้อกลางคืน 29 วงศ์ ในจำนวน 11 วงศ์ของผีเสื้อกลางวัน จำแนกชนิดแล้วได้ 1,114 ชนิด
ข้อแตกต่างของผีเสื้อกลางวันและกลางคืน นอกจากเรื่องการออกหากินที่ชื่อของผีเสื้อทั้ง 2 กลุ่มก็บอกอยู่แล้วว่าหากินเวลาใด ยังมีข้อสังเกตง่าย ๆ เกี่ยวกับผีเสื้อกลางวันและกลางคืน ดังนี้
• ผีเสื้อกลางวัน จะมีสีสันสวยงามสดใสกว่าผีเสื้อกลางคืน ปากมีลักษณะเป็นงวง พร้อมกันนี้จะมีลำตัวที่เรียวยาว ปีกไม่มีขนปกคลุมหรือถ้ามีก็จะบางมาก ๆ เห็นไม่ชัดเจน เวลาเกาะปีกจะยกพับขึ้นตั้งฉากกับลำตัว ส่วนหนวดก็จะชูเป็นรูปตัววี โดยที่ปลายหนวดจะมีตุ่มเล็ก ๆ คล้ายกระบองให้สังเกต
• ผีเสื้อกลางคืน ส่วนมากสีสันจะออกโทนเรียบ ๆ ไม่มีลวดลายเด่นชัดสวยงามอย่างผีเสื้อกลางวัน ด้านลำตัวก็จะกลมและอ้วนกว่า ที่ปีกจะมีขนปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมากแถมยังเป็นเส้นยาว ๆ มองเห็นได้ชัดเจน เวลาเกาะจะกางปีกขนานกับลำตัว พร้อมกับเอาลำตัวซ่อนไว้ใต้ปีก ส่วนหนวดจะมีขนเหมือนแปรงลวดหรือขนนก บางชนิดมีปากลดรูปไปจนไม่สามารถกินอาหารได้ เช่น ผีเสื้อยัก