ในประเทศไทยนั้น เริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในตอนแรกๆไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ ไอศกรีมเป็นของเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ส่วนแบบหลอดหรือแบบแท่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็งและมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า ซึ่งแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมหรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้ จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ๆจนถึงปัจจุบัน
ไอศกรีม หรือ ไอศรีม หรือ ไอติม จัดเป็นอาหารว่างหรือขนม มีรสหวาน เนื้อเหนียวแน่นเย็น มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำตาล และน้ำ จากนั้นจึงนำส่วนผสมไปแช่เย็นหรือทำให้แข็งตัว นอกเหนือจากนี้อาจมีการเติมผลไม้ และสารปรุงแต่งสี กลิ่น รสอื่นๆ รวมทั้งวัตถุเจือปนในอาหารอื่นๆ เช่น สารคงรูปเพื่อให้ไอศกรีมมีเนื้อเนียนและละลายได้ช้าลง ไอติมก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เช่น
1. ช่วยลดอาการปวดศีรษะ ทำให้สดชื่น ผ่อนคลาย อารมณ์ดี
2. ช่วยลดความเครียด ป้องกันภาวะเครียดเรื้อรัง กระตุ้นให้การทำงานของสมอง ค่อยๆลดระดับความเครียดลง
3. ช่วยเสริมสร้างแคลเซียม บำรุงสุขภาพของกระดูกและฟัน เพราะมีน้ำนมเป็นส่วนผสมอยู่สูง
4. ช่วยเสริมสร้างพลังงาน เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ช่วยฟื้นฟูร่างกายที่เหนื่อยล้าได้
5. ช่วยป้องกัน การแข็งตัวของหลอดเลือด เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินเค
6. ช่วยทำให้นอนหลับได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่นอนหลับยาก
7. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีส่วนช่วยในการต่อต้านเชื้อโรค เชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ได้
8. ช่วยกระตุ้นให้มีบุตรได้ง่าย จะช่วยลดความเสี่ยงของการมีบุตรยากได้มากถึง 38%
9. ช่วยลดความดันโลหิต เนื่องจากในไอศกรีม มีโพแทสเซียม เป็นส่วนประกอบอยู่
10. ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เนื่องจากในไอศกรีม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
ไอศกรีมที่ขายกันอยู่ทั่วไปมีหลายแบบและหลายระดับ ส่วนราคามีตั้งแต่ไม่กี่บาทไปจนก้อนละเป็นร้อยก็มี ข้อพึงระวัง ถ้ากินมากเกินไป อาจส่งผลเสียทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้นไม่ควรกินมากเกินไป และควรเลือกไอติมที่มีส่วนผสมของผลไม้ และนมแท้ จึงจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าไอติมที่มีส่วนผสมของไขมันอิ่มตัวสูง เพราะไขมันอิ่มตัวสูงมีอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน