แม้ว่าอะโวคาโด (Avocado) จะเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องราคาสูง แต่คุณประโยชน์ก็สูงไม่แพ้กันเลยค่ะ ในอดีตอาจไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักในคนไทย แต่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนรักสุขภาพ
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกว่า 20 ชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก ซึ่งประโยชน์ของอะโวคาโดนั้นมีหลากหลายด้าน เช่น บำรุงสมอง บำรุงดวงตา ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ไปจนถึงประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ
ประโยชน์ของอะโวคาโดต่อสุขภาพ
• เป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดดี อะโวคาโดมีไขมันชนิดดี คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ถึง 70% ซึ่งมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดแดง เพราะจะช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือด เช่น คอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล และไตรกลีเซอไรด์ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจวายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
• บำรุงระบบประสาทและสมอง หนุ่มสาววัยทำงานที่ต้องใช้แรงกายแรงสมองในการทำงาน ควรรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำ เพราะในอะโวคาโดมีกรดโอเลอิก ซึ่งมีผลดีและจำเป็นต่อระบบประสาทและสมอง โดยกรดไขมันชนิดนี้ช่วยลดความเหนื่อยล้าของสมองและช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองได้ดีมากยิ่งขึ้น
• ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในอะโวคาโดมีวิตามินอี ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งจากภายในและภายนอก ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เพราะในอะโวคาโดมีลูทีน เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์
• บำรุงและรักษาดวงตา ในอะโวคาโด มีสารลูทีนและซีแซนทีนมีประโยชน์ต่อดวงตา มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางดวงตาหลายชนิด ที่สำคัญคือโรคต้อกระจกและโรคจุดรับภาพเสื่อม
• มีโพแทสเซียมสูง ในอะโวคาโด 100 กรัม จะมีโพแทสเซียมสูงถึง 14% จากการวิจัยพบว่า หากเราได้รับโพแทสเซียมในปริมาณที่มากพอจะสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ นอกจากนั้นโพแทสเซียมยังมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของน้ำ กรด-ด่างในร่างกายของเราอีกด้วย
• มีไฟเบอร์สูง อะโวคาโดครึ่งลูกมีไฟเบอร์ 6-7 กรัม โดยแต่ละคนมีความต้องการไฟเบอร์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ในหนึ่งวันผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์ 25 กรัมและผู้ชายควรได้รับไฟเบอร์ 38 กรัม รับประทานอะโวคาโดแค่ครึ่งลูกก็เกือบได้ไฟเบอร์ในปริมาณที่ต้องการในแต่ละวันแล้ว
อะโวคาโดจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย สามารถกินเป็นอาหารว่างหรือกินในอาหารมื้อหลักก็ได้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงานหรือเพิ่มน้ำหนัก หญิงตั้งครรภ์ที่มีปัญหาน้ำหนักไม่เพิ่มตามเกณฑ์ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยเพราะอะโวคาโดเนื้อนุ่ม เคี้ยวง่าย