เสือโคร่ง (Tiger) คือชนิดพันธุ์ที่เรียกว่า umbrella species การดำรงอยู่ของเสือโคร่ง เท่ากับ การดำรงอยู่ของสัตว์ป่านานาชนิดในผืนป่า การเป็น umbrella species ยังหมายถึง การเป็นเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์และคุ้มครอง เท่ากับว่า สัตว์ป่าน้อยใหญ่ในพื้นที่ของเสือโคร่ง ล้วนได้รับการอนุรักษ์และปกป้องไปพร้อม ๆ กัน


เสือโคร่ง อยู่ในวงศ์ Felidae เป็นสัตว์กินเนื้อ (canivora) ขนตามลำตัวสีน้ำตาลเหลืองหรือเหลืองอมส้ม มีลายสีดำพาดขวางตลอดทั้งลำตัว...แน่นอนว่า แต่ละตัวมีลายไม่ซ้ำกันเช่นเดียวกับลายนิ้วมือของคนทั่วโลก มีอยู่ 9 สายพันธุ์ : บาหลี, ชวา, แคสเปียน, อินโด-ไชนีส, เบงกอล, ไซบีเรียน, เซาท์ไชน่า, สุมาตรา และมลายู 3 สายพันธุ์แรก สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้วโดยสิ้นเชิง เหลือไว้เพียง 6 สายพันธุ์หลัง



โดยเสือโคร่งในผืนป่าไทยจัดเป็นสายพันธุ์อินโด-ไชนีส บ้างก็เรียกสั้น ๆ ว่า อินโดจีน มีลำตัวขนาดกลาง และน้ำหนักอยู่ที่ 130-200 กก.


1.เสือโคร่งอินโดจีน (Indochinese tiger : Panthera tigris corbetti) การวิจัยทางพันธุกรรมชี้ให้เห็นว่า เสือโคร่งอินโดจีนอาจเป็นบรรพบุรุษของเสือโคร่งทุกชนิดพันธุ์ ก่อนที่สายพันธุ์เสือโคร่งจะแตกแขนงเป็นชนิดพันธุ์ต่างๆ เมื่อราว 108,000 หรือ 72,000 ปีที่ผ่านมา



ราวปลายทศวรรษที่ 1990 เสือโคร่งอินโดจีนนับว่าสามารถพบเห็นได้ไม่ยากในพื้นที่ประเทศพม่า ไทย เวียดนาม ลาว ทางตอนใต้ของจีน และกัมพูชา แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ปัจจุบัน รายงานของ IUCN ชี้ว่าเสือโคร่งอินโดจีนนับว่าเป็นชนิดพันธุ์ที่อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์ (endangered status) โดยคาดว่าเหลืออยู่เพียง 300 ตัวตามธรรมชาติ



การล่าอย่างรุนแรงไม่ได้กระทบเพียงเสือโคร่งอินโดจีน แต่ยังส่งผลต่อประชากรของหมูป่า กวาง วัวแดง และสัตว์กีบขนาดใหญ่ชนิดอื่นที่เสือโคร่งมักล่าเพื่อเป็นอาหาร โครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภาคพื้นทวีปดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นถนน เขื่อน หรือเหมืองแร่ ต่างก็เป็นแรงกดดันต่อเจ้าแมวยักษ์ชนิดนี้ แต่นับว่ายังโชคดีที่พื้นที่ป่าดิบชื้นขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งอาจเป็นความหวังให้กับการอนุรักษ์ หากมีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ


2.เสือโคร่งเบงกอล (Bengal tiger : Panthera tigris tigris) นักวิทยาศาสตร์ประมาณการณ์ว่า ในปัจจุบัน เสือโคร่งเบงกอลในธรรมชาติเหลืออยู่เพียง 3,000 ตัว จากครั้งหนึ่งที่พวกมันเคยมีถิ่นที่อยู้อาศัยตั้งแต่ประเทศตุรกี และราวศตวรรษที่แล้ว ก่อนการล่าและการทำลายผืนป่าอย่างรุนแรง ในทวีปเอเชียมีเสือโคร่งเบงกอลกว่า 100,000 ตัว



จึงไม่น่าแปลกใจที่ชนิดพันธุ์เสือโคร่งอย่างเสือโคร่งแคสเปียน เสือโคร่งชวา และเสือโคร่งบาหลี จะสูญหายไปจากโลก เหลือไว้เพียงอีก 6 ชนิดพันธุ์ให้เราได้อ่านในบทความนี้



เกือบครึ่งของประชากรเสือโคร่งตามธรรมชาติคือชนิดพันธุ์เบงกอล (Panthera tigris tigris) หรือบางครั้งอาจเรียกว่าเสือโคร่งอินเดีย (Indian Tiger) เนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่อยู่อาศัยในประเทศอินเดีย และกระจายตามผืนป่าในประเทศยบังคลาเทศ เนปาล ภูฏาน จีน และพม่า



หากมีพื้นที่และเหยื่อ เสือโคร่งเบงกอลสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่ว่าจะเป็นผืนป่าหรือทุ่งหญ้า และเสือโคร่งเบงกอลยังเป็นชนิดพันธุ์ย่อยชนิดพันธุ์เดียวที่สามารถอาศัยได้ในป่าชายเลน คือบนหมู่เกาะ Sundarbans บริเวณอ่าวเบงกอล



เสือโคร่งส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่หากพื้นที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เราก็สามารถพบเสือโคร่งอาศัยอยู่ร่วมกันได้จำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศอินเดียคือพื้นที่ที่ดีที่สุดของพวกมัน เสือโคร่งเบงกอล คือชนิดพันธุ์ย่อยที่ชื่นชอบเหยื่อประเภทหมู กวาง และสัตว์กีบอื่นๆ ความอุดมสมบูรณ์ในอินเดีย สะท้อนได้จากการใช้พื้นที่ราว 100 ตารางกิโลเมตร ที่จะพบเสือโคร่งเบงกอลถึง 18 ตัวในเขตคุ้มครองเสือโคร่ง Corbett ประเทศอินเดีย


3.เสือโคร่งไซบีเรีย (Siberian tigers: Panthera tigris altica) แม้จะได้ชื่อว่าเสือโคร่งไซบีเรีย แต่ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันอยู่ในบริเวณผืนป่าที่หนาวเย็น และนับว่าเป็นชนิดพันธุ์ของเสือโคร่งที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างมาก เนื่องจากประชากรที่สำรวจได้ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เหลือเพียงไม่กี่สิบตัว แต่ปัจจุบัน เสือโคร่งไซบีเรียสามารถพบในโลกราว 400 ถึง 500 ตัว กระจายพันธุ์เล็กน้อยในประเทศจีน และบางทีอาจมีในประเทศเกาหลีเหนือ



การฟื้นฟูประชากรเสือโคร่งไซบีเรีย นับเป็นโครงการเพื่อการอนุรักษ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และอาจเป็นความหวังใหม่ให้กับอนาคตของเสือโคร่ง เนื่องจากเสือโคร่งตัวเมีย 1 ตัว สามารถคลอดลูกได้ 15 ตัวในหนึ่งช่วงชีวิต และหากยังมีพื้นที่ให้สมาชิกใหม่ที่แข็งแรงสามารถอยู่อาศัยได้ การฟื้นฟูประชากรก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มนุษย์จะต้องมีข้อตกลงในการห้ามล่าอย่างเด็ดขาด



ข้อตกลงดังกล่าวสำเร็จได้ไม่ยากในกรณีของเสือโคร่งไซบีเรีย เนื่องจากพวกมันอยู่อาศัยในผืนป่าทางตอนเหนือที่แทบไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย และมีพื้นที่มหาศาลที่ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผืนป่าทางทิศตะวันออกของโลก นับว่าเป็นชิ้นส่วนป่าที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งในโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่อาณาจักรแห่งนี้จะได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว


4.เสือโคร่งมลายู (Malayan tiger : Panthera tigris jacksoni)


ในประเทศมาเลเซีย นับตั้งแต่ปี 2519 กฎหมายของประเทศระบุให้เสือโคร่งเป็นสัตว์คุ้มครองอย่างเข้มงวดภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่า ในปีนั้น กรมสัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติประเมินว่ายังมีเสือโคร่งอยู่ในประเทศประมาณ 300 ตัว มาเลเซียประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการควบคุมและลดปริมาณการล่าสัตว์ ในช่วงปี 2515-2519 มีการล่าเสือโคร่งถึง 19 ตัวต่อปีโดยเฉลี่ย แต่ในปัจจุบันเหลือประมาณ 1 ตัวต่อปีเท่านั้น และประชากรเสือโคร่งได้เพิ่มขึ้น



ในปี 2550 ประเมินว่ามีเสือโคร่งพันธุ์มลายูตัวเต็มวัยอยู่ประมาณ 490 ตัว ส่วนใหญ่อยู่ใน กลันตัน ตรังกานู เปรัก และปะหัง พื้นที่ป่าเหล่านี้มักจะเป็นป่าผืนเล็ก ๆ และแต่ละแห่งมีประชากรเสือโคร่งไม่มาก เสือโคร่งพันธุ์มลายู่ชอบอยู่ตามป่าเต็งรังที่ต่ำ แต่ก็พบในป่าพรุด้วย



เสือโคร่งพันธุ์มลายูเป็นเสือโคร่งพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งได้รับการจำแนกออกจากเสือโคร่งพันธุ์อินโดจีนเมื่อปี 2547 ไอยูซีเอ็นยังไม่ได้ประเมินสถานภาพของเสือโคร่งพันธุ์นี้


5.เสือโคร่งจีนใต้(South China tiger : Panthera tigris amoyensis)


ประเทศจีนมีพื้นที่ครอบคลุมเขตกระจายพันธุ์ถึง 4 พันธุ์ คือพันธุ์ไซบีเรียบริเวณชายแดนที่ติดกับเกาหลีเหนือตอนเหนือสุดของประเทศ พันธุ์จีนใต้ทางตอนใต้ของประเทศ พันธุ์อินโดจีนทางชายแดนที่ติดกับประเทศพม่า ลาว และเวียดนาม และพันธุ์เบงกอลบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศอินเดียและพม่า



ในทศวรรษ 1950 ยังมีเสือโคร่งพันธุ์จีนใต้อยู่ประมาณ 4,000 ตัว แต่หลังจากนั้นก็ลดจำนวนอย่างรวดเร็วจากการถูกล่า สาเหตุหนึ่งเนื่องจากทางการจีนประกาศว่าเสือโคร่งเป็นสัตว์รบกวนที่ต้องกำจัด ภายในเวลาเพียง 30 ปีเสือโคร่งพันธุ์จีนใต้ถูกล่าไปถึงประมาณ 3,000 ตัว ตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีนแสดงว่าจำนวนหนังเสือโคร่งที่จับยึดมาได้โดยเฉลี่ยต่อปีลดลงจาก 78.6 ในต้นทศวรรษ 1950 เหลือ 30.4 ในต้นทศวรรษ 1960 ในต้นทศวรรษ 1970 เป็น 3.8 และเหลือเพียง 1 ในปี 1979 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลเริ่มประกาศห้ามล่า



การสำรวจป่า 19 แห่งในปี 2533 มี 11 แห่งที่พบร่องร่อยของเสือโคร่ง มีพื้นที่รวมกันเพียง 2,500 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น พื้นที่ ๆ พบอยู่ทางตอนใต้และตอนเหนือของมณฑลหูหนาน ตอนเหนือของกวางตุ้ง และตะวันตกของฟูเจี้ยน นอกจากนี้การสำรวจในปี 2534 และ 2536 ยังพบเสือทางตะวันออกของหูหนานและทางภาคกลางของเจียงซี พื้นที่หลักที่พบเสือโคร่งคือป่าดิบเขากึ่งร้อนชื้นตามรอยต่อระหว่างมณฑล ป่าที่พบถูกตัดขาดจากกันเป็นผืนเล็กผืนน้อย ส่วนใหญ่มีพื้นที่น้อยกว่า 500 ตารางกิโลเมตร



ในปี 2538 ได้มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการจากกรมป่าไม้ของจีนว่าเหลือเสือโคร่งพันธุ์จีนใต้ในธรรมชาติไม่ถึง 20 ตัวเท่านั้น จัดเป็นเสือโคร่งพันธุ์ที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์มากที่สุด แม้แต่ในสถานเพาะเลี้ยงหรือตามสวนสัตว์ทั่วโลก 19 แห่งที่มีเสือโคร่งพันธุ์นี้ก็มีจำนวนเพียง 48 ตัวเท่านั้น ทั้ง 48 ตัวนี้เป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากเสือโคร่งที่ถูกจับมาจากป่า 6 ตัว


เสือโคร่งพันธุ์สุมาตรา(Sumatran tiger : Panthera tigris sumatrae)


เสือโคร่งพันธุ์สุมาตราอาศัยอยู่บนเกาะสุมาตราเท่านั้น มันต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายจากการถูกบุกรุกถิ่นที่อยู่อาศัยและจากการล่าเช่นเดียวกับเสือโคร่งพันธุ์อื่น ๆ จากการสำรวจประมาณว่ายังมีเสือโคร่งพันธุ์นี้อยู่ 600 ตัว ในจำนวนนี้ 400 ตัวอยู่ในป่าอนุรักษ์ผืนใหญ่ 5 แห่ง และอีก 200 ตัวอยู่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่อื่น ๆ



ในปี ค.ศ. 2004 องค์กร TRAFFIC ได้รายงานว่า องค์กรนานาชาติอย่าง IUCN และ WWF ได้พยายามที่จะติดตามการล่าและค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า ทุกๆ ปี จะมีการล่าเสือโคร่งสุมาตราราว 40 ตัว



เสือโคร่งสุมาตรา นับเป็นชนิดพันธุ์ย่อยของเสือที่อยู่บนเกาะชนิดสุดท้าย ซึ่งในอดีตเกาะที่อยู่ไม่ไกลกันอย่างหมู่เกาะบาหลี และหมู่เกาะชวาในอินโดนีเซีย ต่างก็เคยเป็นที่อยู่อาศัยของ เสือโคร่งบาหลี (Panthera tigris balica) และเสือโคร่งชวา (Panthera tigris sondaica) ทั้งสองชนิดพันธุ์นั้นสูญพันธุ์ในราวศตวรรษที่ 20



และจากประสบการณ์ในอดีต ทำให้นักอนุรักษ์ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อรักษาเสือโคร่งสุมาตราไว้ ไม่ให้สูญพันธุ์เช่นเดียวกับญาติของมัน