ลิลลี่เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนและตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น เป็นไม้ดอกประเภทหัว ดอกมีหลากหลายสี ดอกมีขนาดใหญ่และบางชนิดมีกลิ่นหอมมาก เป็นทั้งไม้ตัดดอกและไม้ที่ปลูกในกระถาง ชนิดที่นิยมปลูกมากที่สุด คือ ลิลลี่ปากแตร นอกจากดอกลิลลี่จะเป็นดอกไม้ที่มีความสง่าและสวยงามแล้ว ด้วยคุณสมบัติหลายๆอย่างจึงทำให้ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ยอดนิยมที่มีราคาแพงมากที่สุดชนิดหนึ่ง
การปลูก
• วัสดุปลูก ลิลลี่ปลูกได้ในดินที่มีการระบายน้ำและอากาศดี รักษาความชื้นในแปลงโดยการคลุมดิน ด้วยวัสดุคลุมดิน เช่น ฟางข้าวหรือเปลือกถั่ว
• แสง ในช่วงอากาศร้อน อุณหภูมิสูง ทำให้คุณภาพดอกต่ำในช่วงแดดจัด ควรพรางแสงให้ลิลิลี่ การพรางแสงยังช่วยรักษาความชื้นด้วย
• อุณหภูมิ ช่วงแรกของการเจริญเติบโต ต้องการอุณหภูมิประมาณ 12–15c. หากต่ำกว่านี้จะทำให้ยอดเจริญช้าเกินไป หลังจากนั้นอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของลิลลี่ คือ กลางคืน 14–16c. และกลางวัน 22–25c.
• ความชื้นที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของลิลลี่ คือความชื้นสัมพัทธ์ร้อยละ 80–85 ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงความชื้นแบบกระทันหัน เพราะจะทำให้เกิดใบไหม้ในพันธุ์ที่อ่อนแอกับอาการนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงควรค่อยเป็นค่อยไป จึงควรใช้การพรางแสง การระบายอากาศและการให้น้ำเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว
การให้น้ำ ควรให้น้ำ 2–3 วันก่อนปลูกเพื่อให้ดินชื้นในระยะแรกที่ปลูกใหม่ จากนั้นควรรดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า พยายามให้ดินมีความชื้นอยู่เสมอ
การให้ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยคอกเก่าๆหรือปุ๋ยหมัก ปริมาณ 1 ลูกบาตรเมตรต่อพื้นที่ 100 ตรม. ให้ปุ๋ยครั้งแรก 3 สัปดาห์ หลังปลูกควรให้ปุ๋ยแคลเซียมไนเตรต สูตร 15–0–0 อัตรา 1 กก. ต่อพื้นที่ 100 ตรม. ต่อมาให้สูตร 12–10–18 ทุก 2 สัปดาห์ หลังตัดดอกแล้วหากต้องการเก็บหัวพันธุ์ ควรให้ปุ๋ยที่มีโปแตสเซียมสูงเพื่อช่วยในการพัฒนาหัว เช่น สูตร 13–13-21 ทุก 2 สัปดาห์
ลิลลี่เป็นไม้เมืองหนาวที่ให้ดอกสวยงามเป็นที่นิยม วิธีการปลูกก็ไม่ยาก แต่ต้องเอาใจใส่กว่าไม้ดอกพื้นเมืองของไทยเพราะเป็นพืชหัวจึงอาจถูกแมลงกินได้ง่ายนั่นเอง