โรคไข้หัดแมวหรือโรคลำไส้อักเสบในแมว หรือสัตวแพทย์มักเรียกว่าอีกชื่อหนึ่งว่า Feline Panleukopenia แปลว่า ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำในแมว โรคนี้เกิดจากเชื้อพาโวไวรัส เป็นเชื้อที่ขึ้นชื่อว่าคงทนในสิ่งแวดล้อมและทำลายได้ยาก แม้จะไม่ติดคนแต่คนสามารถเป็นตัวพาเชื้อไปติดน้องแมวตัวอื่นได้ และเชื้อพาโวในน้องหมาสามารถติดสู่น้องแมวได้ด้วย
เชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในสิ่งคัดหลั่งของร่างกาย เช่น อุจจาระ อาเจียน ปัสสาวะและน้ำลาย สามารถเกิดการแพร่กระจายได้สองทาง
1. ทางตรง (directly contact; fecal-oral route) จากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูก เหมือนโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อย แต่โดยธรรมชาติแล้วแมวมีนิสัยชอบทำความสะอาดตัวเองและเวลาทักทายกันก็เอาจมูกชนกัน หรือถ้ารักกันมากๆก็เลียขนให้กันอีกด้วย จึงทำให้เกิดการแพร่กระจายได้มากทีเดียว
2. ทางอ้อม (indirectly contact) จากการที่แมวป่วยขับสิ่งคัดหลั่งที่มีเชื้อออกมาสู่สิ่งแวดล้อม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นของใช้ กระบะทราย ที่นอน จานข้าว ปรสิตภายนอก หรือแม้แต่ตัวคนเราก็สามารถพาเชื้อไปสู่น้องแมวได้
โรคนี้สามารถติดเชื้อได้ง่ายและอาจเป็นโรคร้ายแรงถึงชีวิตที่ทำร้ายลูกแมวและแมวโตเต็มวัย เป็นโรคติดเชื้อในทางเดินอาหารของแมว สามารถพบได้ทุกช่วงอายุโดยเฉพาะในแมวเด็กและแมวที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ในกรณีที่มีอาการรุนแรงสามารถทำให้น้องเหมียวของคุณเสียชีวิตได้ ถือเป็นโรคที่ค่อนข้างร้ายแรงที่คนเลี้ยงแมวไม่ควรมองข้ามเลย
โรคไข้หัดแมวนี้จะรุนแรงมากในแมวอายุน้อย โดยมีอาการที่สำคัญที่พบคือ มีไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย และมีผลต่อการทรงตัวของลูกแมว และทำให้ลูกแมวตาบอดได้ ส่วนในลูกแมวโตเมื่อเกิดการติดเชื้อระยะหนึ่งแล้วร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ก็จะอาการดีขึ้น แต่แมวที่หายจากโรคใหม่ๆสามารถพบเชื้อไวรัสออกมากับอุจจาระได้หลายสัปดาห์ ส่วนในแมวตั้งท้องอาจแท้งลูกหรือลูกตายหลังคลอดได้
การรักษา จะรักษาตามอาการและพยุงชีวิตให้สัตว์สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อโรคได้ โดยการให้สารน้ำ (Fluid therapy) และฉีดยาร่วมด้วย โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน นอกจากนี้อาจฉีดยาระงับการอาเจียนและลดการทำงานของลำไส้ โดยการงดอาหารและน้ำ ให้วิตามินบีรวมโดยการฉีดเข้าทางเส้นเลือด เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง มีแต่การรักษาเพื่อประคับประคองชีวิตเท่านั้น
การป้องกันโรคไข้หัดแมว จำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรค โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 8 สัปดาห์และกระตุ้นซ้ำอีกทีที่ 12 และ 16 สัปดาห์ จากนั้นจึงต้องมากระตุ้นซ้ำทุกปี ที่สำคัญคือหากมีการนำแมวตัวใหม่เข้ามาในบ้านแล้วยังไม่มีประวัติหรือการเคยทำวัคซีน ควรทำการกักโรคไว้ 1 สัปดาห์ หมายถึงแยกเลี้ยงเพื่อให้เคยชินกับสภาพแวดล้อมและรอให้โรคถึงระยะฟักตัวจริงๆ เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อนั่นเอง