สุดยอดประเทศแห่งศิลปะแดนยุโรป ยังไงก็ต้องมีอิตาลีอยู่ในนั้น เพราะนอกจากจะอบอวลไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบต่อมาอย่างยาวนานแล้ว ทั้งสถาปัตยกรรมและทิวทัศน์อันงดงามของทะเลและภูเขาก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเมืองด้วยเช่นกัน


• กรุงโรม ที่มาพร้อมกับตำแหน่งเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี มีความเก่าแก่กว่า 2,700 ปี เป็นแหล่งรวมโบราณสถานที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศอยู่หลายแห่ง รวมถึงเป็นรากฐานสำคัญของศิลปะและสถาปัตยกรรมตะวันตกอีกด้วย


• เวนิส ฉายา “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” รายล้อมไปด้วยคูคลองถึง 150 สาย รวมถึงตึกอาคารสีสันสดใสตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอย่างลงตัว นอกจาก


โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ที่เน้นลวดลายวิจิตรตระการตาตั้งอยู่ตรงจัตุรัสกลางเมือง


• ฟลอเรนซ์ เป็นถึงเมืองหลวงเก่าของประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1865 จนถึง 1871 ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี จุดเด่นของฟลอเรนซ์คือทิวทัศน์ของแม่น้ำอาร์โนที่ไหลผ่านตึกอาคารทรงโบราณโทนสีอบอุ่นและทิวเขาที่สวยงาม โดยมีสะพานเวคคิโอเชื่อมระหว่างสองฝั่งของเมืองเข้าด้วยกัน


• ปิซ่า นับเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอิตาลีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากพื้นดินในบริเวณที่สร้างเป็นดินโคลน ไม่ใช่ชั้นหินที่สามารถยึดเหนี่ยวฐานให้มั่นคง จึงทำให้ฐานข้างหนึ่งของหอยุบตัวลงไป หอระฆังจึงเริ่มมีความเอนเอียงนับตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์และวิศวกรมาหาวิธีทำให้หอระฆังหยุดเอนลง และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา และกลายมาเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก


• ทะเลสาบโคโม่ ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบทื่สวยที่สุดในโลก ด้วยความยาวโดยรอบถึง 160 กิโลเมตร บวกกับพื้นที่รอบๆทะเลสาบถึง 146 ตารางกิโลเมตร จึงทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีเมืองต่างๆรายล้อมอยู่มากมาย แถมยังเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาแอลป์ได้จากเมืองเหล่านี้อีกด้วย


• เวโรน่า ตามรอยวรรณกรรมตะวันตกที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง Romeo and Juliet ที่เมืองเวโรน่า โดยเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของจูเลียตในชีวิตจริง


• ชิงเคว เทเร (Cinque Terre) หนึ่งในเมืองเก่าแก่ของประเทศอิตาลี ที่มีอายุยาวนานถึง 1,300 ปี ลักษณะการแบ่งเป็นหมู่บ้านทั้งหมด 5 แห่ง แม้แต่ละหมู่บ้านก็จะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่หมู่บ้านทั้ง 5 มีเหมือนกันก็คือตึกอาคารสีสันฉูดฉาดที่ตัดกับสีเขียวของภูเขาและสีฟ้าของน้ำทะเลได้อย่างงดงาม แถมยังมีอากาศที่ดีสุดๆไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป จึงเหมาะกับการมาเที่ยวพักตากอากาศตลอดทั้งปีเลยค่ะ


และชายฝั่งอมาลฟี ประกอบไปด้วยเมืองต่างๆที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง โอบล้อมไปด้วยภูเขา ทะเลและหาดทรายสีขาว บรรยากาศสดใสราวกับภาพวาดสีน้ำมัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมืองแถบชายฝั่งอมาลฟีถึงจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก