มีนกหลายชนิดในธรรมชาติ และอายุขัยของนกแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ อายุขัยของนกกระจอกมักมีเพียง 2-3 ปี ในบรรดานกตัวเล็ก ๆ นกแก้วมีอายุขัยที่ยืนยาวที่สุดซึ่งสามารถมีอายุขัยมากถึง 40 ปีและส่วนใหญ่ที่เหลือจะมีอายุขัยไม่เกิน 5 ปี อายุขัยที่เป็นไปได้ของนกตัวเล็กทั่วไปคือประมาณ 5 ถึง 10 ปี
กระบวนการสืบพันธุ์และพัฒนาการของนกโดยทั่วไปประกอบด้วยหลายขั้นตอน ตั้งแต่การเกี้ยวพาราสี การผสมพันธุ์ การสร้างรัง การวางไข่ การกกไข่ และการฟักไข่ และแต่ละขั้นตอนมักมาพร้อมกับพฤติกรรมการสืบพันธุ์ที่ซับซ้อน
1. การเกี้ยวพาราสี โดยทั่วไปการสืบพันธุ์ของนกจะมีฤดูกาลที่ชัดเจน และนกที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนมักจะสืบพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ในช่วงสองฤดูกาลนี้ นกจะปล่อยฮอร์โมนเพศที่กระตุ้นให้นกสร้างรังและผลัดขนและเปลี่ยนเสียงร้องเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามให้มาผสมพันธุ์
2. การผสมพันธุ์ แบบ "อยู่กันเป็นคู่" ในหมู่นกมีหลายรูปแบบ และนกส่วนใหญ่ "มีคู่เพียงตัวเดียว"
3. การสร้างรัง นกส่วนใหญ่สร้างรังโดยตัวเมียเพียงตัวเดียว มีเพียงนกบางสายพันธุ์เท่านั้นที่ตัวผู้และตัวเมียร่วมกันสร้างรัง โดยปกติจะสร้างรังเสร็จภายในสองสามวัน รังสามารถป้องกันไม่ให้ไข่กลิ้งกระจายออกไป ดูดซับและควบคุมอุณหภูมิที่มาจากร่างกายของแม่นกให้สม่ำเสมอเพื่อใช้ในการฟักไข่ และยังช่วยให้แม่นกป้อนอาหารลูกนกได้อีกด้วย โดยวัสดุ ตำแหน่ง และรูปทรงของรังของนกต่าง ๆ ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์
4. การวางไข่ หลังจากที่นกสร้างรังแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงวางไข่ นกวางไข่ในช่วงเช้ามืดเวลาตี 4 ถึง 5 หรือช่วงบ่าย 2 ถึง 3 โมง นกล่าเหยื่อส่วนใหญ่วางไข่หนึ่งฟองในเวลา 24 ชั่วโมง และนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่วางไข่หนึ่งฟองใน 72 ชั่วโมง
5. การฟักไข่ การฟักไข่เป็นกุญแจสำคัญในการสืบพันธุ์และการอยู่รอดของนก และจำเป็นต้องสร้างและพัฒนาตัวอ่อนในไข่ภายใต้สภาวะที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายนก ในส่วนที่สัมผัสระหว่างตัวนกกับตัวไข่ ขนจะหลุดร่วงออกมาเพื่อสร้างแผ่นกกไข่ ซึ่งบริเวณผิวหนังดังกล่างจะมีการพัฒนาเส้นเลือดฝอยและมีอุณหภูมิผิวหนังสูง ซึ่งสามารถกระตุ้นการฟักตัวของไข่ได้
6. การเลี้ยงลูกนก หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาฟักไข่ ลูกนกจะใช้ส่วนที่ยื่นออกมาซึ่งก็คือปลายปากของพวกมัน ฟันของไข่ เพื่อจิกเปลือกไข่ หลังจากที่ลูกนกเจาะเปลือกไข่ออกมาได้แล้ว พวกมันจะต้องอยู่ในรังเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจึงจะสามารถออกจากรังไปหาอาหารได้
แม้ว่านกจะมีอายุขัยสั้น แต่เราไม่ค่อยเห็นซากนก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ประการแรก โดยทั่วไปนกสามารถรับรู้สภาพร่างกายของมันเองได้ เมื่อพวกมันมีลางสังหรณ์ว่าชีวิตกำลังจะถึงจุดจบ พวกมันมักจะหาที่ซ่อนที่ค่อนข้างลับตาคน
ในเวลานี้พวกมันจะหยุดบินออกไปหาอาหาร เพราะความสามารถในการบินของนกแก่เหล่านี้ได้ลดลงในขณะนี้ และเมื่อพวกมันเจอศัตรูตามธรรมชาติจากภายนอกแล้ว ก็ยากที่จะหนีพ้นจากเนื้อมือของศัตรูนักล่าเหล่านั้นไปได้ ส่วนอาหารและการรักษาความอบอุ่นจะเป็นเมล็ดพืชหรือแมลงเล็ก ๆ ในละแวกนั้น เพื่อประทังความหิวเล็กน้อย แล้วใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเงียบ ๆ เตรียมตัวรับความตายที่ไม่มีใครมองเห็น
ประการที่สอง หากเป็นนกที่มีร่างกายค่อนข้างแข็งแรงกำยำ แม้ว่าพวกมันจะรู้ว่าร่างกายของพวกมันแย่ลงทุกวัน พวกมันก็ยังยืนหยัดที่จะบินและหาอาหารต่อไป หากเหน็ดเหนื่อยจากการบิน พวกมันจะหยุดอยู่บนพื้นเพื่อพักผ่อนชั่วคราว แต่เมื่อพวกมันอยู่บนพื้น พวกมันก็ถูกโจมตีหรืออาจถึงขั้นถูกสัตว์ที่ใหญ่กว่าหรือสัตว์ดุร้ายอื่น ๆ จับกินเป็นอาหาร ในขั้นตอนนี้หากนกเหล่านั้นโชคร้ายถูกจับกินเป็นอาหารเสียก่อน แน่นอนว่าเราไม่มีทางเห็นพวกมันได้ตามธรรมชาติ
สุดท้าย นกบางตัวก็มี "ความสามารถในการจดจำอาณาเขต" ที่แม่นยำเหมือนมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพวกมันมีลางสังหรณ์ว่า "ชีวิตกำลังจะจบสิ้น" พวกมันก็จะ "หวนคืนสู่รากเหง้า" และเลือกที่จะอยู่ในรังของมันเอง และจะไม่ไปไหนอีก อาหารของนกเหล่านี้มาจากลูกนกอ่อน พวกมันจะกินอาหารที่ลูกนกอ่อนคาบมาให้พวกมันจนตายในรัง ซากศพที่พวกมันทิ้งไว้จะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและกลับคืนสู่ธรรมชาติในที่สุด