ข้าวเหนียวมะม่วง (Mango Sticky Rice) กลายเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน โดยเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน คนไทยมักมองหาผลไม้ประจำฤดูกาล เช่น มะม่วง


เมนูของหวานนี้ทำมาจากข้าวเหนียว มะม่วง และกะทิ แต่งรสหวานโดยใช้น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลมะพร้าว และเกลือ นิยมใช้มะม่วงสุกซึ่งมีรสชาติหวาน เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ หรือสามารถใช้มะม่วงอกร่องได้เช่นกัน เมนูของหวานนนี้มีปริมาณแคลอรี่ น้ำตาล และปริมาณไขมันค่อนข้างสูง


ข้าวเหนียวมะม่วง เป็นของหวานที่นิยมรับประทานในไทยตั้งแต่สมัยปลายอยุธยา และช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 อ้างอิงตามบันทึกใน "โคลงกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน" ซึ่งเป็นบทประพันธ์ในรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการเอ่ยถึงมะม่วงอกร่อง แต่ไม่ได้ระบุว่ามีการนำมะม่วงมาทานกับข้าวเหนียว และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เริ่มมีการนำมะม่วงสุกมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูน แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นคนคิดค้นเมนูของหวานนี้


ประโยชน์ของข้าวเหนียวมะม่วง


เมนูของหวานนี้รวมๆ แล้วจะให้พลังงานประมาณ 200- 350 กิโลแคลอรีต่อจาน (คิดจาก 100 กรัม) เมื่อรับประทานแล้วจะให้พลังงาน ไขมัน และใยอาหารสูง มีวิตามินหลายชนิด และช่วยให้ร่างกายสดชื่น โดยนิยมรับประทานกันในช่วงฤดูร้อน เพราะร่างกายจะสูญเสียพลังงานไปกับความร้อน และถือเป็นฤดูกาลการเก็บเกี่ยวมะม่วงพอดี


ประโยชน์ของมะม่วงสุก


มะม่วงสุกมีรสชาติดี หวานอมเปรี้ยว และมีสารอาหารมากมายที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย มีวิตามินเอ และวิตามินซี บำรุงผิวพรรณ ดวงตา กระดูก และระบบภูมิคุ้มกัน


อีกทั้งมะม่วงยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ทำหน้าที่ช่วยดูดซึมน้ำ ทำให้ขับถ่ายง่าย ลดอาการท้องผูก


ในมะม่วงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ชื่อว่า แมงจิเฟอริน (Mangiferin) ที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือด ป้องกันมะเร็ง จอประสาทตาเสื่อม อัลไซเมอร์ รวมถึงอาการข้ออักเสบต่างๆ อีกด้วย


มะม่วงสุกรสหวานอมเปรี้ยว เมื่อทานคู่กับข้าวเหนียวมูนรสนุ่มละมุนลิ้น ตัดเลี่ยนด้วยความเค็มปลายลิ้นของกะทิ หรือจะโรยถั่วทองกรุบกรอบเผื่อเพื่อรสชาติก็เข้ากันได้ดี แต่ข้อควรระวังคือ ควรบริโภคแต่พอดี เพราะมีปริมาณแคลอรีค่อนข้างสูง และอย่าลืมออกกำลังการเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราทุกคนด้วยนะคะ